วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

รวมรูปภาพธนบัตรไทยโบราณ หาดูยาก เก็บไว้ให้ลูกหลานดูเล่น

 Thai Banknote
Thai Banknote
 Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote 
Thai Banknote
 Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote
Thai Banknote

6-10 พ.ค.นี้ ชวนเที่ยวงานประเพณีบุญบั้งไฟ จังหวัดยโสธร




 

จังหวัดยโสธรร่วมกับเทศบาลเมืองยโสธร, ภาครัฐ, รัฐวิสาหกิจ, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภาคเอกชน และพี่น้องชาวจังหวัดยโสธร ร่วมกันจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ ประจำปี 2552 ระหว่างวันที่ 6-10 พฤษภาคมนี้ ณ สวนสาธารณะพญาแถน และเขตเทศบาลเมืองยโสธร ประเพณีบุญบั้งไฟ หรือบุญเดือนหก จัดขึ้นเป็นประจำปีทุกปี ในช่วงอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม ก่อนที่จะถึงฤดูลงมือทำนา ตามตำนานเล่าว่า...

เมื่อครั้งพระพุทธ เจ้าถือชาติกำเนิดเป็นพญาคางคก ได้อาศัยอยู่ใต้ร่มโพธิ์ใหญ่ ในเมืองพันทุมวดี ด้วยเหตุใดไม่แจ้ง พญาแถน เทพเจ้าแห่งฝนโกรธเคืองโลกมนุษย์มาก จึงแกล้งไม่ให้ฝนตกนานถึง 7 เดือน ทำให้เกิดความลำบากยากแค้น อย่างแสนสาหัสแก่มวลมนุษย์ สัตว์และพืช จนกระทั่งพากันล้มตายเป็นจำนวนมาก พวกที่แข็งแรงก็รอดตาย และได้พากันมารวมกลุ่ม ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่กับพญาคางคก สรรพสัตว์ทั้งหลายจึงได้หารือกัน เพื่อจะหาวิธีการปราบพญาแถน ที่ประชุมได้ตกลงกัน ให้พญานาคียกทัพไปรบกับพญาแถน แต่ก็ต้องพ่ายแพ้

จากนั้นจึงให้พญาต่อแตน ยกทัพไปปราบ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้อีกเช่นกัน ทำให้พวกสรรพสัตว์ทั้งหลาย เกิดความท้อถอย หมดกำลังใจและสิ้นหวัง ได้แต่รอวันตาย ในที่สุด พญาคางคกจึงขออาสาที่จะไปรบกับพญาแถน จึงได้วางแผนในการรบ โดยปลวกทั้งหลาย ก่อจอมปลวกขึ้นไป จนถึงเมืองพญาแถน เพื่อเป็นเส้นทางให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายได้เดินทางไปสู่เมืองพญาแถน ซึ่งมีมอด แมลงป่อง ตะขาบ สำหรับมอด ได้รับหน้าที่ให้ทำการกัดเจาะด้ามอาวุธ ที่ทำด้วยไม้ทุกชนิด ส่วนแมลงป่องและตะขาบให้ซ่อนตัวอยู่ตามกองฟืน ที่ใช้หุงต้มอาหาร และอยู่ตามเสื้อผ้าของไพร่พลพญาแถน ทำหน้าที่กัดต่อย หลังจากวางแผนเรียบร้อย กองทัพพญาคางคกก็เดินทาง

เพื่อปฏิบัติหน้าที่การรบ มอดทำหน้าที่กัดเจาะด้ามอาวุธ แมลงป่องและตะขาบ กัดต่อยไพร่พลของพญาแถนจนเจ็บปวด ร้องระงมจนกองทัพระส่ำระสาย ในที่สุดพญาแถนจึงได้ยอมแพ้ และตกลงทำสัญญาสงบศึกกับพญาคางคก ดังนี้ 1. ถ้ามวลมนุษย์จุดบั้งไฟขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อใด ให้พญาแถนสั่งให้ฝนตกในโลกมนุษย์ 2. ถ้าได้ยินเสียงกบ เขียดร้อง ให้รับรู้ว่าฝนได้ตกลงมาแล้ว 3. ถ้าได้ยินเสียงสนู (เสียงธนูหวายของว่าว) หรือเสียงโหวด ให้ฝนหยุดตก เพราะจะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวข้าว หลังจากที่ได้สัญญากันแล้ว พญาแถนจึงได้ถูกปล่อยตัวไป และได้ปฏิบัติตามสัญญามาจนบัดนี้

ในปัจจุบันงานบุญบั้งไฟ ก็ยังคงมีขึ้นในวันเสาร์ - อาทิตย์ ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมของทุกปี ณ.สวนสาธารณะพญาแถน โดยมีความเชื่อว่า เมื่อจัดงานนี้แล้วเทพยดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จะดลบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ และเป็นประเพณีความเชื่อที่สำคัญในคนอีสาน นิยมทำกันในเดือน 6 ของทุกปี โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญ ได้แก่ จุดมุ่งหมายในการขอฝน  ชาวบ้านในภาคอีสาน ถือว่าบุญบั้งไฟเป็นพิธีกรรมที่มีความสำคัญมาก

เพราะเชื่อว่าหากหมู่บ้านใด ไม่จัดงานบั้งไฟก็อาจก่อให้เกิด ภัยพิบัติ เช่น โรคภัยไข้เจ็บ หรือทุพภิกขภัยแก่ชุมชนได้ ในขณะที่ช่วงจัดงานนี้เป็นช่วงที่ ชาวบ้านมีงานต้องทำมาก เนื่องจากเป็นฤดู ของการทำนาปี ฉะนั้นที่ประชุม ผู้ใหญ่บ้าน จึงต้องปรึกษาหารือกัน เพื่อตัดสินใจว่าจะจัดหรือไม่ในปีนั้น หากตัดสินใจว่าจะไม่จัดแล้ว ก็จำเป็นต้องไปทำพิธีที่ศาลปู่ตาของบ้าน เพื่อขออนุญาตเลื่อนงานบุญนี้ไปในปีหน้า

การจัดงานและการละเล่นในประเพณีบุญบั้งไฟ ในวันสุกดิบชาวบ้าน จะจัดขบวนแห่บั้งไฟยังศาลปู่ตาของหมู่บ้าน ทำพิธีเซ่นสรวง มีการจุดบั้งไฟที่ใช้ในการเสี่ยงทาย เพื่อเสี่ยงทายดูความอุดมสมบูรณ์ และความสำเร็จในการทำนาปีนั้น จากนั้นก็พากันกินเหล้าฟ้อนรำ รอบศาลปู่ตาเป็นที่สนุกสนาน จากนั้นก็พากันแห่บั้งไฟ ไปยังสถานที่จัดงานบุญบั้งไฟ เพื่อจุดแข่งขันประกวด ประชันกันต่อไป ในปัจจุบันบั้งไฟที่ใช้จุดแข่งขัน มีหลากหลายที่นิยมเรียกกัน ได้แก่บั้งไฟหมื่น บั้งไฟแสน บั้งไฟล้าน ซึ่งมีขนาดของดินปืนมากน้อย แตกต่างกันไป

ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว จังหวัดยโสธร

วัดมหาธาตุ

อำเภอเมือง จ.ยโสธร
วัดมหาธาตุ ตั้งอยู่ภายในเขตเทศบาลเมือง โบราณสถานที่สำคัญในวัดคือพระพุทธบุษยรัตน์ หรือพระแก้วหยดน้ำค้าง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะสมัยเชียงแสน เป็นพระบูชาคู่บ้านคู่เมืองของยโสธร ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้า ฯ พระราชทานให้พระสุนทรราชวงศาเจ้าเมืองยโสธรคนแรก

พระธาตุยโสธร หรือพระธาตุอานนท์ ตั้งอยู่หน้าอุโบสถ เป็นพระธาตุรุ่นเก่าที่สำคัญองค์หนึ่งในภาคอีสาน เจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมส่วนยอดคล้ายพระธาตุพนม ภายในพระธาตุบรรจุอัฐิธาตุของพระอานนท์ การก่อสร้างได้รับอิทธิพลศิลปะลาว ที่นิยมสร้างขึ้นเมื่อปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาถึงต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งตรงกับประวัติการตั้งเมือง และประวัติของวัดมหาธาตุฉบับหนึ่งว่า สร้างราว พ.ศ. 2321 โดยท้าวหน้า ท้าวคำสิงห์ ท้าวคำผา ซึ่งเดิมเป็นเสนาบดีเก่าของกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) ต่อมาได้อพยพผู้คนภายใต้การนำของพระวอ พระตา ราว พ.ศ. 2313-2319 มาตั้งถิ่นฐาน ณ ที่นี้

ลักษณะพระธาตุ ฐานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 81 เมตร ก่ออิฐถือปูนเอวฐานคอดเป็นรูปบัวคว่ำบัวหงาย เหนือขึ้นไปเป็นเรือนธาตุ มีซุ้ม 4 ทิศ ประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืน ส่วนยอดธาตุมียอดปลีเล็กแซมทั้ง 4 ด้าน ยอดกลางทรงสี่เหลี่ยมสอบ มี 2 ชั้น รูปแบบการก่อสร้างคล้ายกับพระธาตุก่องข้าวน้อย และทางวัดจะจัดให้มีงานสมโภชพระธาตุอานนท์ ขึ้นเป็นประจำทุกปีในเดือนมีนาคม

หอไตร เป็นที่เก็บคัมภีร์ใบลานของวัด ตั้งอยู่ตรงกลางสระทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระธาตุ แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ลักษณะแบบหอไตรภาคอีสานทั่วไป มีทางเดินโดยรอบติดกันใต้ชายคา บริเวณนี้เป็นที่เก็บรักษาตู้พระธรรม หีบพระธรรม เสลี่ยงชั้นวางคัมภีร์ซึ่งนำมาจากเวียงจันทน์ ซุ้มประตูและบานประตูไม้สลักลวดลายเครือเถาลงรักปิดทองอย่างสวยงาม การตกแต่งฝาผนังมีลวดลาย ซึ่งเป็นลักษณะผสมแบบภาคกลางสันนิษฐานว่า หอไตรน่าจะสร้างขึ้นประมาณสมัยรัชกาลที่ 4-5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

พระธาตุก่องข้าวน้อย

อำเภอเมือง จ.ยโสธร
พระธาตุก่องข้าวน้อย ตั้งอยู่ในทุ่งนา ตำบลตาดทอง ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 9 กม. ไปตามทางหลวงหมายเลข 23 (ยโสธร-อุบลราชธานี) ประมาณหลักกิโลเมตรที่ 194 เลี้ยวซ้ายไปอีก 1 กิโลเมตร

พระธาตุก่องข้าวน้อยเป็นเจดีย์เก่าสมัยขอม สร้างในพุทธศตวรรษที่ 23-25 ตรงกับสมัยอยุธยาตอนปลาย ตั้งอยู่ในเขตวัดพระธาตุก่องข้าวน้อย ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงทุ่งนาในเขตตำบลตาดทอง พระธาตุก่องข้าวน้อยเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน รูปทรงแปลกไปจากเจดีย์โดยทั่วไป คือมีลักษณะเป็นก่องข้าว องค์พระธาตุเป็นเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้สาม ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 2 เมตร ก่อสูงขึ้นไปประมาณ 1 เมตร ช่วงกลางขององค์พระธาตุมีลวดลายทำเป็นซุ้มประตูทั้งสี่ด้าน ถัดจากช่วงนี้ไปเป็นส่วนยอดของเจดีย์ที่ค่อยๆ สอบเข้าหากัน ส่วนยอดรอบนอกของพระธาตุก่องข้าวน้อย มีกำแพงอิฐล้อมรอบขนาด 5x5 เมตร นอกจากนี้บริเวณด้านหลังพระธาตุ มีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่งก่อด้วยอิฐ ชาวบ้านนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก และในเดือนห้าจะมีผู้คนนิยมมาสรงน้ำพระและปิดทอง ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้ฝนจะแล้งในปีนั้น

พระธาตุก่องข้าวน้อยมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ ซึ่งผิดไปจากปูชนียสถานแห่งอื่นๆ ที่มักเกี่ยวพันกับเรื่องพุทธศาสนา แต่ประวัติความเป็นมาของพระธาตุก่องข้าวน้อย กลับเป็นเรื่องของหนุ่มชาวนาที่ทำนาตั้งแต่เช้าจนเพล มารดาส่งข้าวสายเกิดหิวข้าวจนตาลาย อารมณ์ชั่ววูบทำให้เขากระทำมาตุฆาต ด้วยสาเหตุเพียงว่าข้าวที่เอามาส่งดูจะน้อยไปไม่พอกิน ครั้นเมื่อกินข้าวอิ่มแล้ว ข้าวยังไม่หมดจึงได้สติคิดสำนึกผิดที่กระทำรุนแรงต่อมารดาของตนเอง จนถึงแก่ความตาย จึงได้สร้างพระธาตุก่องข้าวน้อยแห่งนี้ขึ้น เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลขออโหสิกรรมและล้างบาปที่ตนกระทำมาตุฆาต

นอกจากนี้ที่บริเวณบ้านตาดทอง กรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดค้นเรื่องราวของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ได้ค้นพบโครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และภาชนะลายเขียนสีแบบบ้านเชียงซึ่งกรมศิลปากร กำลังดำเนินการจัดตั้งอุทยานก่อนประวัติศาสตร์ขึ้น

หอไตรวัดสระไตรนุรักษ์

อำเภอทรายมูล จ.ยโสธร
หอไตรวัดสระไตรนุรักษ์ ตั้งอยู่ที่วัดสระไตรนุรักษ์ บ้านนาเวียง หมู่ที่1 ตำบลนาเวียง ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นหอไตรเก่าแก่อยู่กลางสระน้ำ สร้างมาประมาณร้อยกว่าปี เป็นสถาปัตยกรรมแบบพม่าหรือไทยใหญ่ เป็นอาคารไม้ขนาดกว้าง 8.30 เมตร ยาว 10.50 เมตร หลังคามุมสังกะสี มีชายคายื่นทั้ง 4 ทิศ หลังคามี 4 ชั้น ลดหลั่นกันขึ้นไปมีประตูด้านหน้า 1 ช่อง บานประตูแกะสลักลวดลายสวยงาม ใช้เป็นที่เก็บพระไตรปิฎกแต่มาโบราณ

ภูถ้ำพระ

อำเภอเลิงนกทา จ.ยโสธร
ภูถ้ำพระ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านกุดแห่ หรือกุดแห ตำบลกุดเชียงหมี ห่างจากอำเภอเลิงนกทา 12 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 212 และห่างจากอำเภอเมือง 85 กิโลเมตร ที่เรียกว่า “ภูถ้ำพระ” เนื่องจากมีพระพุทธรูปอยู่ในถ้ำจำนวนมาก ถ้ำพระนี้เป็นถ้ำใหญ่กว้างประมาณ 3 วา ยาวประมาณ 8 วา ตั้งอยู่ชะง่อนภูด้านทิศใต้ มีทางเข้าไปตามซอกหินเป็นอุโมงค์ จากปากถ้ำเลยไปทางทิศเหนือ สามารถเดินลอดไปได้ บนภูเขาลูกนี้นอกจากจะมีบรรยากาศร่มเย็นและร่มรื่น ไปด้วยป่าไม้หนาทึบแล้ว บริเวณโดยรอบยังมีถ้ำอื่นๆ อีก อาทิ ถ้ำเค็ง ถ้ำงูซวง ถ้ำเกลี้ยง และถ้ำพรหมบุตร

โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้

อำเภอไทยเจริญ จ.ยโสธร
โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้ ตั้งอยู่ที่อำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร มีประวัติเล่าสืบกันมาว่าในปี ค.ศ.1908 มีผู้หนีตายอพยพจากที่ต่าง ๆ กัน เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้รวม 5 ครอบครัว ซึ่งหนีมาด้วยสาเหตุเดียวกัน คือ ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบ ชาวบ้านในหมู่บ้านจึงรุมทำร้ายและขับไล่ จากนั้นได้เดินทางไปหาบาทหลวงเดชาแนล และบาทหลวงออมโบรซีโอ ที่บ้านเซซ่ง ต.เชียงเพ็ง อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ขอให้ไปช่วยขับไล่ผีปิศาจที่สิงสู่อยู่กับตนและ ครอบครัว ซึ่ง บาทหลวงทั้ง 2 ท่าน ก็ยอมเข้าป่าลึกไปตามคำขอ เมื่อรู้สึกดีขึ้น ทั้ง 5 ครอบครัว จึงเข้านับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ต่อมาบ้านหนองซ่งแย้ มีผู้คนอพยพ ไปอยู่มากขึ้น ในปี ค.ศ. 1909 ชาวบ้านปลูกกระต๊อบ ฝาขัด แตะเล็กๆ ใช้ประกอบพิธีทางศาสนา นับว่าเป็นจุดกำเนิดวัดซ่งแย้ หรือชื่ออย่าง เป็นทางการ เป็นภาษาละตินว่า วัดอัครเทวดามิคาแอล ตามชื่อนักบุญองค์สำคัญ เป็นภาษาอังกฤษคือโบสถ์ เซนต์ไมเคิล เป็นภาษาฝรั่งเศสคือ โบสถ์แซงต์ มิเชล โดยมีบาทหลวงเดชาแนล เป็นอธิการโบสถ์คนแรก และคนในบ้านหนองซ่งแย้ซึ่งล้วนแต่เป็นชาวไทยอีสาน ได้มาเข้ารีต ถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เกือบทั้งหมด

หลังจากนั้น ได้มีการสร้างอาคารโบสถ์ใหม่หลายครั้ง โบสถ์ไม้เนื้อแข็งหลังปัจจุบันนี้ เป็นโบสถ์หลังที่ 4 วางแผนก่อสร้างปี ค.ศ. 1936 ชาวบ้านพากันรวบรวมไม้ ลงมือสร้างปี ค.ศ. 1947 ตัวโบสถ์รูปทรงที่สร้างขึ้นมีลักษณะแบบศิลปะไทย กว้าง 16 เมตร ยาว 57 เมตร จัดเป็นโบสถ์ไม้ที่ใหญ่ที่สุด ในประเทศไทย ใช้แผ่นไม้เป็นแป้นมุง หลังคา 80,000 แผ่น ใช้เสาขนาดต่างๆกันถึง 360 ต้น ส่วนใหญ่เป็นเสาไม้เต็ง เสาในแถวกลางมีขนาดใหญ่ยาวที่สุดมี 260 ต้น สูงจากพื้นดินกว่า 10 เมตร พื้นแผ่นกระดานเป็นไม้แดงและไม้ตะเคียนขนาดใหญ่ ม้านั่งไม้จุคนได้กว่าพันคน ระฆังโบสถ์มีเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบ 2 ฟุต อยู่ในหอระฆังสูงที่สร้างแบบหอระฆังตามวัดไทยทั่วไป แต่แปลกตรงที่แยกต่างหากจากโบสถ์ และเนื่องจากไม้ที่ได้รวบรวมมามีจำนวนมาก จึงได้นำไม้ที่เหลือมาสร้างโรงเรียนบ้านซ่งแย้พิทยา
การเดินทาง จากยโสธรใช้ทางหลวงหมายเลข 2169 เลยอำเภอกุดชุมไปประมาณ 7-8 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกราว 600 เมตร ถึงบริเวณโรงเรียนซ่งแย้พิทยาและโบสถ์ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกัน

สวนสาธารณะพญาแถน

อำเภอเมือง จ.ยโสธร
สวนสาธารณะพญาแถน ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมือง ริมถนนแจ้งสนิท (ทางหลวงหมายเลข 23) ติดกับอ่างเก็บน้ำลำทวน ภายในสวนพญาแถนมีลำน้ำเล็กๆ คดเคี้ยวล้อมรอบ บริเวณโดยรอบประกอบด้วยสวนไม้ดอก ไม้ประดับ สังคีตศาลา (เวทีการแสดงกลางแจ้ง) สนามเด็กเล่น และสวนสุขภาพ เทศบาลกำหนดให้สวนพญาแถน เป็นสถานที่จัดงานบั้งไฟประจำปี (พญาแถนเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งฝน ตามความเชื่อของชาวอีสานว่าเมื่อถึงเดือนหกจะต้องทำบั้งไฟ จุดขึ้นไปบนท้องฟ้าถวายพญาแถน ฝนจะได้ตกต้องตามฤดูกาล) นอกจากนี้ยังใช้เป็นสถานที่จัดงานแข่งเรือสั้น(เรือหาปลา)ประจำปี และงานสงกรานต์ เมื่อปี พ.ศ. 2525 สวนแห่งนี้ยังได้รับรางวัลสวนสาธารณะดีเด่น ของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย

หมู่บ้านทำหมอนขิต

บ้านศรีฐาน อำเภอป่าติ้ว จ.ยโสธร
หมู่บ้านทำหมอนขิตบ้านศรีฐาน ห่างจากตัวเมืองยโสธร 20 กิโลเมตร ตามเส้นทางยโสธร-ป่าคิ้ว-อำนาจเจริญ (ทางหลวงหมายเลข 202) ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 18-19 แยกทางขวามือเข้าไปทางลูกรังอีก 3 กิโลเมตร หลังฤดูทำนาชาวบ้านแทบทุกครัวเรือน มีอาชีพทอผ้าและทำหมอนขิต นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมและซื้อหมอนขิต ไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งขณะนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก ส่งเป็นสินค้าออกไปขายต่างประเทศ นับเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน ที่นำรายได้เป็นอันดับสองรองจากการทำนา

วิธีการเลือกคอนแทคเลนส์

                         วิธีการเลือกคอนแทคเลนส์

สำหรับวิธีการเลือกคอนแทคเลนส์นั้น ในครั้งแรกที่ทุกท่านจะลองใส่คอนแทคเลนส์ไม่ว่าจะเพื่อความสวยงาม ความแบ๊ว หรือเพื่อความสะดวกสบายในการดำรงชีวิตเรื่องจากปัญหาสายตา ควรที่จะไปพบจักษุแพทย์ดูสักครั้งหนึ่งก่อนค่ะ เพราะว่าจักษุแพทย์จะได้วัดค่าสายตา B.C. DIA. CYL  AXIS คุณภาพและปริมาณของน้ำตา รวมถึงโรคของตาที่อาจยังไม่แสดงอาการ etc. แล้วจะได้แนะนำคอนแทคเลนส์ที่เหมาะกับดวงตาของท่านให้ค่ะ เพราะ ถ้าใส่คอนแทคเลนส์ที่ไม่เหมาะสมกับดวงตาเนี่ยสามารถทำให้เกิดปัญหาตามมาได้หลากหลายเลยค่ะ เช่น
ใส่คอนแทคเลนส์ที่B.C.น้อยเกินไป ก็จะทำให้ดวงตาของท่านถูกบีบรัด จนเส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก หรือทำให้ความดันในดวงตาเพิ่มสูงขึ้น อาจจะเป็นโรคต้อชนิดต่างๆขึ้นมาได้ หรือB.C.ที่มากเกินไป ก็จะทำให้ใส่คอนแทคเลนส์แป๊บๆก็หลุดแป๊บๆก็เลื่อน ลมพัดหน่อยหรือกระพริบตาหน่อยก็ปลิวไปอะไรแบบนี้ค่ะ หรือว่าถ้าใสคอนแทคเลนส์ที่มีDIAมากเกินไปก็จะทำให้ออกซิเจนไหลผ่านเข้าสู่ดวงตาน้อยลง ก็เป็นปัญหาได้อีกเช่นกัน
ดังนั้นหลักในการเลือกคอนแทคเลนส์แบบง่ายๆคือ

1.มีDIA.ที่ไม่ใหญ่จนเกินไปโดยปกติจะอยู่ที่ 14.0-14.5
2.B.C.ที่เหมาะสมพอดีกับดวงตาของเรา
3.มีค่าอมน้ำ(water content)ในเปอร์เซ็นต์สูง เพราะค่าอมน้ำเนี่ย หมายถึงการที่คอนแลนส์สามารถอุ้มน้ำได้เท่าไหร่และยอมให้ออกซิเจนไหลผ่านได้แค่ไหน ซึ่งยื่งมากก็จะลดโอกาสตาแห้งหรือระคายเคืองตาลงไปได้ค่ะ
- High water ยอมให้ Oxygen ผ่านได้ดี ใส่สบายตาและใส่ได้นาน
- Low water ยอมให้ Oxygen ผ่านได้น้อย ความสบายตาลดลง และใส่ได้ไม่นาน
แต่ว่าสิ่งที่ช่วยลดอาการตาแห้งก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับค่าอมน้ำอย่างเดียวนะคะ วัสดุที่ใช้ทำเลนส์ก็มีส่วนค่ะ ว่าทำให้น้ำระเหยไปได้ไวแค่ไหน เพราะก็มีนะคะที่ค่าอมน้ำสูงมากๆแต่วัสดุเนี่ยทำให้น้ำระเหยออกไปได้เร็วตาเราจึงแห้งระหว่างวันค่ะ (เพราะฉะนั้นจึงมีบางคนบอกว่ายี่ห้อAอมน้ำ 60% แต่ทำไมใส่แล้วไม่สบายตาเท่ายี่ห้อBที่อมน้ำแค่ 40 % มันมีสาเหตุมาจากวัสดุนี่แหละค่ะ)
4.มีวัสดุที่เหมาะสม(Material) ถ้าหากท่านแพ้วัสดุตัวใดที่ใช้ทำคอนแทคเลนส์ก็ควรที่จดเอาไว้นะคะ เพราะถ้าคราวหน้าเราจะเปลี่ยนยี่ห้อจะได้ดูว่าไม่มีวัสดุที่เราแพ้ค่ะ (อาการแพ้ก็คือใส่แล้ว เจ็บตา ระคายเคืองตา มีขี้ตาออกมามากกว่าปกติ ตาแฉะ มองภาพไม่ชัด etc.)
ซึ่งHydroxyethyl methacrylate ( HEMA ) เป็นสารชนิดแรกที่นำมาผลิต Soft Cont Lens
- สามารถอมน้ำได้ตั้งแต่ 38 %ขึ้นไป , นิ่มใส่สบายและใส่ได้นาน
- ยอมให้ Oxygen ผ่านได้ดี ปัจจุบันคอนเลนส์ที่นิยมใช้กัน จะผลิตด้วยเนื้อวัสดุที่เป็น HEMA หรือ Polymacon ,Methafilcon Aและอีกหลากหลายเลยค่ะต้องดูกันแล้วจดตัวที่เราแพ้ไว้ด้วยนะคะ
5.มีกรรมวิธีการผลิตที่เหมาะสมซึ่งตอนนี้เท่าที่ทราบมี 4 แบบค่ะ
   1. SPIN CAST ( ระบบปั่น เป็นระบบเดิม )
    ข้อดี
   - ผิวเรียบใส่สบาย
   - ต้นทุนการผลิตต่ำ
   ข้อเสีย
   - พับ และฉีกขาดง่าย
   - ผลิตโค้งได้น้อย
   - ใช้เวลานานในการผลิตต่อชิ้น
   2. LATHE CUT ( ระบบเจียระไน เป็นระบบที่ทันสมัย )
   ข้อดี
   - ชิ้นงานละเอียดได้มาตรฐาน
   - เกาะตาดำได้ดี
   - พับและฉีกขาดยาก
   - ผลิตได้หลายโค้ง เหมาะสำหรับดวงตาทุกขนาด 
   ข้อเสีย
   - ต้นทุนการผลิตสูง
   3. CAST MOULDED ( ระบบปั๊ม )
   ข้อดี
   - ชิ้นงานละเอียด
   - ใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมการผลิตทุกขั้นตอน
   ข้อเสีย
   - ต้นทุนการผลิตสูง
   4.Sandwish Method (ระบบสอดไส้) ใช้กับคอนแทคเลนส์สี
   ข้อดี
   - ชิ้นงานละเอียด
   - ไม่มีโอกาสที่สีของคอนแทคเลนส์จะหลุดออกมาติดกับดวงตา
   ข้อเสีย
   - สีของเลนส์ไม่สม่ำเสมอ
เพราะฉะนั้นบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น หรืออเมริกา ท่านจะไม่สามารถซื้อคอนแทคเลนส์ด้วยตัวเองยกเว้นว่าจะมีใบสั่งจากจักษุแพทย์หรือมีประกันสังคมอะค่ะ แต่ของประเทศไทยสามารถหาซื้อได้ทั่วไป แล้วเกิดปัญหาทีก็ยุ่งเลยอะค่ะทีนี้
ดังนั้นไปพบจักษุแพทย์ก่อนลองใส่นะคะ
ขั้นตอนการเพ้นเล็บ ลายเสือติดโบน้อย รหัส้ ht 001
วันนี้มาทำลายเล็ยลายเสือกัน แต่เสือมันดูน่ากลัวไปน่า จะดุไปหรือเปล่า.เอาเป็นว่า..เราจะมาเติมโบให้เสือน้อยตัวนี้...ดีกว่า!!!!!!
1 เมือได้เขนาดเล็บที่เราต้องการแล้ว เริ่มทาสีน้ำตาลเหลือบทองมุขเล็กน้อย สองรอบกำลังดี
2 ทากากเพรชสีทองเม็ดละเอียด ย้ำเม็ดละเอียดนะครับ ทาบางๆหนึ่งรอบ
3 ผสมสีนำ้ตาลทอง น้ำตาล+สีทอง ทำเป็นลายจุดไม่ต้องเท่ากัน ทำลายเป็นมุมเฉียงๆ
4 จุดเป็นเส้นปะสีดำ ล้อมรอบจุดน้ำตาลทอง ทำให้ดูออกมาคล้ายๆลายเสือ
5 ต่อมาจะมาทำโบน้อยกัน เริ่มจากแปะก้อนแป้งอคิลิกสีขาว กดและปั้น.....ทำให้คล้ายๆรูปหัวใจ
6 แปะก้อนแป้งอคิลิกอีกก้อน ทำเป็นรูปหัวใจอีกอัน หัวใจสองอันบวกกัน..เป็นโบแย้ว
7 เติมสีให้โบน้อยเสียน่อยนะ ....เอาแป้งสีชมพู แปะเข้าไปตรงกลาง เกลี่ยให้เนียน..เข้มไปอ่อน
8 แปะเพรชสีขาวใส่เข้าไปตรงกลางเสียหน่อย...... เป็นอันเสร็จ
ลายนี้สามารถดัดแปลงได้ตามใจชอบนะครับ ตั้งแต่สีพื้น สีของลายเสือ และโบน้อย
แต่ที่สำคัญการเปลี่ยนสีพื้นและลายควรไปในทางที่คล้ายกันนะ
เช่นเปลี่ยนสีพื้นเป็นสีชมพูอ่อนผสมกากเพรช ลายเสือก็ควรเป็นสีชมพูเข้ม
ตัดขอบสีแดงหรือสีดำก็ได้
**ถ้าเพื่อนๆหรือพี่ๆ ...ลองทำเแล้วไม่เป็นดังใจลองทำอีกครั้งนะครับ...ไม่ต้องเกรงทำตามสบาย
ไม่ต้องกลัวว่าต้องเหมือนลายเปะ ทำตามที่เราถนัด ..ศิลปะไม่มีคำว่าผิดหรือถูกหรอกครับ
แล้วจะเอาวิธีทำลายใหม่ๆมาฝากเลื่อยๆนะครับ
**ถ้าเพื่อนๆหรือพี่ๆ ....ไม่อยากทำเอง หรืออยากได้ลายแบบรวดเร็วทันใจ
สั่งทางเว็บเราทำก็ได้นะครับรับรองเหมือนแบบเปียบเลย หรือจะอยากเปลี่ยนโทนสีก็สั่งได้ดังใจ
เลยนะครับ เราจะทำให้คุณจนกว่าจะพอใจ
ลายนี้รหัสคือ HT 001 .....ราคา 390.....รวมราคาส่งของแบบEMSแล้วนะ .....390บาทนี้...
คุณไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ิมแล้วนะ ..ของที่คุณจะได้รับคือ .........1.ลายเล็บสำเร็จรูปลายนี้10เล็บ
ตามขนาดของเล็บคุณ .......2.กาวต่อเล็บ ........3.ขนาดของเล็บสำเร็จรูปตั้งแต่เบอร์1ถึงเบอร์10...
สำหรับวัดขนาดเล็บของคุณในการสั่งครั้งต่อไป ทั้งหมดนี้จะบรรจุอย่างดี ใส่ในกล่องพร้อมส่งให้คุณ
เลย... ขอบอกอีกอย่างนะ!!เราทำให้คุณถูกมากเลย แล้วทำไมยังไม่สนใจอีกล่ะ...ห่ะ

วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

การวิเคราะห์ทางเทคนิค สามารถมองเห็นถีงผลประกอบการล่วงหน้าจริงหรือ

หลายๆ คน เมื่อพูดถึงการวิเคราะห์ทางเทคนิค อาจรู้สึกว่า เป็น อวิชาที่ ไม่มีหลักการใดๆ พิสูจน์ได้ เปรียบเสมือน ทฎษฎี Random Walk หรือการให้ลิงปาเป้า ซึ่งจริงแล้ว การวิเคราะห์ทางเทคนิคส่วนหนี่ง เป็นการอ่านพฤติกรรมของนักลงทุนจากราคาหุ้น (หรือเครื่องจับเท็จ) ที่บ่งบอกว่ามีกลุ่มคนหรือนักลงทุน ว่ามีการคาดการณ์ถึงผลกระทบ ในอนาคตจากปัจจัยทางพื้นฐาน หรือการได้รับข้อมูลภายในล่วงหน้า   โดยหลายครั้งเราจะสามารถเห็นถึงพฤติกรรมของราคาหุ้นที่มีความผิดแปลก แตกต่าง จากหุ้นในกลุ่ม เสมอ ก่อนที่จะมีการแจ้งข่าวสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งถึงโครงการในอนาคต หรือผลประกอบการ ดังนั้น เพื่อทำให้ทุกท่านเข้าใจมากยิ่งขึ้นผมจึงขอทำตัวอย่างดังนี้ครับ

       หลายๆครั้ง ที่ การปรับตัวขึ้นลงของหุ้นในแต่ละรอบมักมีการ แกว่งตัวขึ้นลงของหุ้นแต่ละตัวได้ไม่เท่ากัน แต่อะไรคือสาเหตุหรือปัจจัยที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งหากพิจารณาให้ดี เมื่อตอนสภาวะตลาด SET index สร้างจุดสูงสุดใหม่ทะลุกรอบแนวต้านที่ 820จุด ในวันที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมา นั้นได้ส่งผลให้เกิน Momentum เชิงบวกในระยะกลางทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 908จุด ในช่วงระยะเวลา 4สัปดาห์ต่อจากนั้น คิดเป็นการเปลี่ยนแปลงของดัชนีกว่า +10%
ซึ่งหากเปรียบเทียบกับหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ก็จะเห็นถึงความแตกต่างของการเปลี่ยนแปลงของหุ้นธนาคารแต่ละตัวที่แตกต่างกัน โดยผมจะขอยกตัวอย่างดังนี้
ภาพนี้คือภาพที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นในช่วงวันที่ 20 ก.ย.50 ก่อนที่ตลาดจะปรับตัวขึ้นเหนือ 820จุด โดยภาพบนคือหุ้น SCB , ภาพกลางคือ หุ้น SCIB และ ภาพล่างคือ SETBANK โดยจะเห็นได้ว่า ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคาร (SETBANK) และ SCB มีการปรับตัวขึ้น เป็นลักษณะ uptrend ในขณะที่หุ้น SCIB มีการแกว่งตัวในกรอบแคบ และปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย โดยหากเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดขึ้น ท่านสามารถดูได้ในภาพ ถัดไปนี้
จากภาพท่านจะเห็นว่า หุ้น SCB มีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงสูงสุด เมื่อเทียบกับราคาปิดในวันที่ 20 ก.ย.50 ที่ +12.75%  ส่วน SETBANK เปลี่ยนแปลงสูงสุด +11.25% ในขณะที่ หุ้น SCIB เปลี่ยนแปลงสูงสุดที่ 6.15% ซี่งหากมีใครได้ซื้อหุ้น SCIB ไปก็คงต้องอีดอัด ว่าทำไมหุ้น ไม่ไปไหน Side way ตลอด จะโผล่หัวขึ้นไปเมื่อไหร่ ก็ถูกคนขายใส่   มา ณ บัดนี้ ผมว่าหลายท่านคนพอจะเข้าใจถึงเหตุและผลการบ้างแล้ว จากผลประกอบการในไตรมาส 3 ที่ออกมาให้ความกระจ่าง  โดยในวันที่ 22 ตุลาคม 2550 เวลา 9.00 น.